2.จากนั้น Paste แล้วเลือก Paste Option ที่ Icon ตามรูป

เท่านี้ก็เสร็จแล้วครับ

ตัวอย่างการใช้งาน
ผมใช้คำสั่ง Choose ในการแปลข้อความ Skill ในเกม โดยใช้คำสั่ง แบบนี้ครับ
=CHOOSE(INT(IF(ISNUMBER(SEARCH(“*increase*”,$A1)),”1″,”0″))+INT(IF(ISNUMBER(SEARCH(“*decrease*”,$A1)),”2″,”0″)),”เพิ่ม”,”ลด”)
ถ้าข้อความมีคำว่า increase จะให้ index มีค่าเท่ากับ 1 แต่ถ้ามีคำว่า decrease จะให้ index มีค่าเท่ากับ 2 แล้วก็ไปตั้งค่าใน Array ช่องที่1 คือ “เพิ่ม” ช่องที่2 คือ “ลด” จากนั้นก็ทำกับช่องอื่นๆตามตัวอย่างในรูปครับ

สามารถลองโหลดไฟล์ตัวอย่างไปศึกษาได้ที่ลิ้งนี้ครับ -> โหลดไฟล์ตัวอย่าง

วิธีการง่ายๆคือ ให้เราคลิกที่ Paste option เป็นปุ่มเหลืองๆอยู่มุมขวาล่างของตารางที่เราเพิ่งก๊อปปี้มาวางเสร็จ

จากนั้นเหลือ Values Only

เท่านี้ก็เรียบร้อยครับ

เมื่อคุณใส่ข้อมูลรายได้เสร็จแล้วคุณอยากจะใส่สูตรคำนวนไปเลยว่า เดือนๆนึงคุณต้องใช้จ่ายค่าอะไรเท่าไรบ้าง ก็เขียนสูตร excel จับคูณไปเลย เขียนสูตรเสร็จคุณก็ลากมันลงมาเลย เพื่อจะให้มันคูณลงมาทั้งตาราง แต่ว่ามันจะเกิดปัญหาแบบนี้ครับ

Excel เจ้ากรรมมันดันคิดให้คุณเองว่าคุณจะเอาช่องข้างบนมาคูณกับช่องด้านซ้ายเหมือนเมื่อกี้ ไม่ใช่คูณกับช่องบนสุดที่เป็นข้อมูลรายได้ที่เราต้องการ วิธีการแก้คือล๊อคตำแหน่ง Row ให้มันคูณเฉพาะข้อมูลของแถวที่ 2 ครับ ด้วยการเปลี่ยนจาก C2 เป็น C$2 ครับ

เท่านี้เราก็จะได้ผลลัพธ์อย่างที่เราต้องการ จากนั้นเราต้องการลากสูตรให้มันคูณทุกเดือนอีก …. มันก็จะเจ๊งอีกครับ

เพราะว่าคราวนี้มันก็ไม่เอารายได้ไปคูณกับ % ที่เราตั้งไว้ข้างซ้ายแล้วครับ มันดันเอาไปคูณกับงบแทน ก็เลยกลายเป็นตัวเลขมหาศาลแบบที่เห็นนี่ ก็ต้องล๊อคมันเหมือนเดิมครับ ให้กลับไปเปลี่ยนสูตรให้ตั้งแต่แรก จาก B3 เป็น $B3 แทน มันก็จะล๊อคให้คูณเฉพาะข้อมูลของ Col B ครับ

ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องแล้วครับ

สรุปคือ จะล๊อค Row ใส่ $ หน้าตัวเลข เช่น A$1
จะล๊อค Col ใส่ $ หน้าตัวอักษร เช่น $B2
อยากล๊อคทั้งคู่เลย ใส่มันทั้งคู่ครับ เช่น $C$3

ดาวน์โหลดไฟล์ตัวอย่าง

*note :  สำหรับการรับงาน Outsource กับบริษัทเอกชน

เอกสารที่ใช้ในการรับงานOutsource จะแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนนะครับ

1. เสนอราคา
2. วางบิล
3. เก็บเงิน

1. เสนอราคา

ขั้นตอนนี้ใช้เอกสารคือใบเสนอราคาครับ เมื่อตกลงราคากับลูกค้าเป็นที่พอใจแล้ว

พอลูกค้าเซ็นกลับมาก็ทำสำเนาไว้ 1 ฉบับ แล้วเอาไว้ใช้แนบอีกทีตอนที่วางบิลลูกค้า

ใบเสนอราคา ควรจะมีรายละเอียด Feature ต่างๆในใบเสนอราคาด้วย

เพื่อที่ว่าจะเป็นการระบุขอบเขตของงานด้วยในทางหนึ่ง

Input  : ใบเสนอราคา

Output : ใบเสนอราคาที่ลูกค้าเซ็นมาแล้ว x2 (สำเนาใบนึง)

2. วางบิล

อันนี้เป็นขั้นตอนที่ผมคิดว่ายุ่งยากสุดละครับ เพราะแต่ละบริษัทแม่_ขั้นตอนไม่เหมือนกันเลย

ทางที่ดีควรจะถามการเงินหรือบัญชีของบริษัทนั้นๆว่า ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง ใครต้องเซ็น ไม่งั้นก็จะวางบิลไม่ได้

เอกสารที่ต้องมีแน่นอนครับคือ ใบแจ้งหนี้ ซึ่งอันนี้ทางเราต้องเป็นคนออกเอกสารนี้

นอกจากนั้นก็แล้วแต่บริษัทครับ บางเจ้าก็ต้องมีใบสั่งซื้อของทางบริษัทนู้นด้วย

ขั้นตอนวางบิล

1. ออกใบแจ้งหนี้ x3 (ตัวจริงให้ลูกค้า, สำเนาที่ให้ลูกค้าเซ็นด้วย, สำเนาที่เก็บไว้)
2. เอาใบแจ้งหนี้x2 และใบอื่นๆที่จำเป็นไปวางบิล
3. เอาสำเนาใบแจ้งหนี้ที่ลูกค้าเซ็นแล้วหรือใบรับวางบิลกลับมา เพื่อไว้ใช้แนบในการเก็บเงินต่อไป

Input  : ใบแจ้งหนี้, ใบเสนอราคา(แนบ), ใบสั่งซื้อ(Option)

Output : ใบแจ้งหนี้ x2, ใบรับวางบิล(Option)

3. เก็บเงิน

เป็นขั้นตอนที่อยากให้มาถึงมากที่สุดครับ  ขั้นตอนก็ไม่ีมีอะไรยุ่งยากมาก  คือ

รอให้ทางบริษัทลูกค้าออกเช็คให้ ซึ่งโดยทั่วๆไปแล้วก็จะมีเรื่องของเครดิตอยู่
(เครดิตคือ เวลาที่ำกำหนดว่าหลังจากวางบิลแล้ว เราให้เวลาลูกค้ากี่วันที่จะเอาตังให้เรา)

เมื่อลูกค้าออกเช็คเรียบร้อยแล้ว จึงเอาใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีไปให้ลูกค้าเพื่อแลกกับเงินของเรา

Input  : ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี, ใบแจ้งหนี้หรือใบวางบิล

Output : ใบเสร็จรับเงิน(สำเนา), ใบหัก ณ ที่จ่้าย, เงิน