เล่มนี้เป็นเล่มแรกที่ @mktmag แนะนำในรายการที่หามาอ่าน ซื้อมาจาก kindle

Rework นับเป็นหนังสือธุรกิจที่แหวกแนวจากหนังสือธุรกิจทั่วๆไป คือตั้งแต่เปิดอ่านคำนำมา ผู้เขียนได้ออกตัวว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เขียนจากหลักทฤษฎี แต่มาจากประสบการณ์ล้วนๆ ซึ่งหลายๆหัวข้อผู้เขียนได้พยายามยกหัวข้อขึ้นมาขัดตำราธุรกิจอื่นๆ เพื่อให้ผู้อ่านที่อาจจะจดจำสิ่งต่างๆมาจากตำราทั่วๆไป ได้หันกลับมามองอีกครั้ง ว่าสิ่งที่เรารู้มานั้น จริงๆแล้วมันใช้ได้กับธุรกิจเราจริงๆหรือไม่

ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างหัวข้อที่น่าสนใจ เช่น

- Ignore the real world : อย่าสนใจคำพูดที่ว่า “ความคิดนี้มันใช้ในโลกจริงไม่ได้หรอก!” ส่วนใหญ่มันก็เป็นแค่ข้ออ้างที่จะหนีความจริงซะมากกว่า

- Planning is guessing : การวางแผนส่วนใหญ่มันก็การเดาดีๆนี่เอง แล้วถ้าเราเปลี่ยนการเดานั้นเป็นแผนแล้ว คุณก้ได้ก้าวย่างไปสู่เขตอันตรายแล้ว แผนที่ดีต้องเป็นแผนระยะสั้น ยืดหยุ่นได้ ปรับเปลี่ยนตามความผิดพลาดจากการเดา ของเรา

- Why grow? เรามักจะคิดว่าธุรกิจมันต้องยิ่งใหญ่ เพราะยิ่งใหญ่ มันก็ทำเราโอ้อวดได้ แต่บางทีธุรกิจขนาดเล็กก็อาจจะพอแล้ว ขอแค่มีรายได้ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็โอเคแล้ว

- Workaholism บ้างานเกินไป ไม่ใช่เรื่องดีต่อการทำงาน “ทำงานมากกว่า ไม่ใช่ว่าจะเสร็จมากกว่า แต่คุณก็แค่ทำมากกว่า” อาการบ้างานยิ่งเป็นการสร้างปัญหาให้ผู้อื่นด้วยซ้ำไป เพราะเป็นการยิ่งกดดันให้คนอื่นๆรู้สึกรับผิดชอบที่ต้องอยู่ดึกด้วย

“Workaholices aren’t heros. They don’t save the day.they just use it up. The real hero is already home becuase she figured out a faster way to get thing done.”

- No time is no excuse : “เวลาที่สมบูรณ์แบบ มันไม่มีทางมาถึงหรอก คุณจะ เด็กไป แก้ไป ยุ่งไป จนไป และอื่นๆ ถ้ายังมัวแต่รีรอ ก็ไม่มีทางได้เริ่ม”

- Focus on what won’t change : “The core of your business should be bulit around things that won’t change . Things that people are going yo want today and ten year from now . Those are the things you should invest in. ”

-Say no by default : อย่าเชื่อว่าลูกค้าถูกเสมอ เพราะเราไม่สามารถเป็นทุกอย่างให้ลูกค้าได้ ต้องหัดพูดว่าไม่ เพื่อเราจะได้เดินตามทางที่สินค้าเราควรจะเป็นจริงๆ

- Don’t write it down: เมื่อต้องรับปัญหาจากลูกค้า เราไม่จำเป็นต้องจดทั้งหมด เพราะอะไรที่สำคัญจริงๆ เดี่ยวเราก็ได้ยินบ่อยจนจำได้เอง

- Drug dealers get it right : พ่อค้ายากล้าพอ และรู้ดีว่า สินค้าของเค้าดีพอ ที่จะให้ฟรี แต่ไม่ขาดทุน – ถ้าของเราดีพอ อย่ากลัวที่จะยอมให้ฟรี

- Do it yourself first : ก่อนจะจ้างใครทำงานอะไร เราควรจะลองทำเองก่อน จะได้รู้ธรรมชาติของงานนั้น จะได้รู้ว่าจริงๆเราต้องการอะไรแน่ ก่อนจะเริ่มจ้างคน

- ASAP is poison : ทุกคนก็อยากได้งานของตัวเองเร็วสุดทุกคน แต่เก็บสิ่งที่สำคัญไว้ใช้ยามที่สำคัญจริงๆ

- Meeting is toxic : Interrupt ที่แย่ที่สุดคือการประชุม ด้วยเหตุผลต่างๆเช่น ส่วนใหญ่จะคุยกันแต่เรื่องเลื่อนลอย ประชุมกันก็ออกทะเลได้ง่ายมาก , มักต้องกินเวลาทุกๆคนที่ไม่มีเวลา , มักจะมีสักคนที่ดึงเวลาให้เสียเปล่าเสมอ , มักไม่จบในครั้งเดียว.. ถ้าจำเป็นต้องประชุมจริงๆ ลองแก้ด้วยวิธีต่างๆเช่น ตั้งนาฬิกา , เรียกคนให้น้อยที่สุด , กำหนดเวลาให้แน่นอน, เมื่อประชุมเสร็จ assign คนรับผิดชอบด้วย

ยังมีอื่นๆที่น่าสนใจอยู่อีกเยอะ ถ้าใครสนใจก็ลองหาอ่านกันได้นะครับ

ที่มา

http://www.amazon.com/Rework-ebook/dp/B002MUAJ2A/ref=sr_1_1?ie=UTF8&m=A1EYFN0I6QSCA8&s=digital-text&qid=1283235740&sr=1-1

ปัญหาคือเจ้าตัว Flex Component Kit นี้มันเคยใช้ได้ดีใน CS3 แล้วมันดันลงใช้ใน CS4 ไม่ได้นี่ซิ ทำไงดีหล่ะ = =”

วิธีการแก้ปัญหาก็ไม่มีอะไรมากครับ คาดว่าเป็นบั๊กในการ Install ตัวส่วนเสริมของ Flash CS4 ใน OS ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ

โดยวิธีการแก้ไขคือ

1. ลง ส่วนเสริม Flex Component Kit หรือตัวอื่นๆ ตามปกติก่อน ด้วยการ Double Click ตามปกติ

2. เข้าไปที่

C:\Users\[USER]\AppData\Local\Adobe\Flash CS4\[LOCALE]\Configuration (Windows7)

โดย [LOCALE] คือภาษาของเครื่องคุณ เช่น th ก็ภาษาไทย

3. Copy ไฟล์ / โฟลเดอร์ ในแฟ้มนี้ ไปยัง

C:\Users\[USER]\AppData\Local\Adobe\Flash CS4\en\Configuration

ซึ่งเป็น แฟ้มของภาษาอังกฤษนั่นเอง

4. ใช้งานได้ตามปกติแล้ว… เย้

ขอขอบคุณ Muzak จาก Forum Adobe =/\=

source : http://forums.adobe.com/message/1997552

find

เป็นคำสั่งพื้นฐานในการค้นหาไฟล์ หรือโฟลเดอร์ที่เรากำลังค้นหาอยู่บนระบบปฎิบัติการ linux

ตัวอย่างการใช้งาน

find /path/to/ -name filename => หาตามชื่อไฟล์

find /path/to/ -type f -size +1024k=> หาตามขนาดไฟล์ (มากกว่า 1024kB /1 MB)

ฝากไว้แค่นี้หล่ะกันครับ :p

source : Find files larger than a given size in Linux | Tips4Linux.com.

จนกระทั่งช่วงหลังมาเกิดแรงผลักดันจากหลายๆฝ่าย โดยเฉพาะที่เห็นกันอย่างชัดเจนคือ สงครามน้ำลายระหว่าง Apple และ Adobe ในปัญหาเรื่อง Flash บน iPad/iPhone ทำให้ HTML5 ถูกดึงมาเป็นประเด็นที่กล่าวถึงกันมาก จนนักพัฒนาทั้งหลายกลับมาให้ความสนใจกันมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีผลทำให้ HTML5 อาจจะได้ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในเร็วๆวันนี้

HTML5 ที่เี่ราๆพูดถึงกันนั้น จะประกอบด้วยส่วนหลักๆ สามส่วนคือ

- HTML5 ที่มาพร้อมกับ Tag html ใหม่ๆ

- Javascript API มาตราฐานใหม่ๆที่เพิ่มเข้ามา

- CSS3 ลูกเล่นเพิ่มเติม เช่น Animation

ไล่ไปทีละส่วนนะครับ

HTML5

- Tag ใหม่ๆเช่น

- <video> ที่มาใช้งานแทน Flash เดิม ซึ่งก็ยังเป็นที่ถกเถียงว่าดี เสียต่างกันยังไงบ้าง

- <audio> ตรงตัว มีขึ้นเพื่อเล่นเสียงเพลงบนหน้าเวป

- <canvas> ใช้ในการแสดงผลด้านรูปภาพบน browser ด้วย Javascript ซึ่งจะใช้ Library WebGL เป็นตัวแสดงผล

- Tag ที่บ่งบอกตำแหน่งในหน้าเวป เช่น header , group , nav , section , article ซึ่งจะทำงานเหมือน div แต่จะมีผลกับ search engine ในกา่รอ่าน html

- microdata ไว้ใช้แสดงความหมายของข้อความใน html เช่น [ My name is <span itemprop='name'>Neil</span> ]  หมายความ Neil เป็นชื่อ

- UI Form ใหม่ เช่น range , search และ Validation

Javascript API

เป็นการเพิ่มความสามารถใหม่ๆลงใน Javascript ซึ่งบางส่วนแต่จะมีการพัฒนาให้ทำได้ด้วย Version เก่าได้อยู่แล้ว แต่เมื่อเป็นมาตรฐานจะทำให้ใช้งานง่ายขึ้น แล้วประสิทธิภาพดีขึ้นด้วย

- getElementsByClassName : ไว้ใช้ในการ select DOM element ตามที่ต้องการ ซึ่งแต่เดิม Framework ต่างๆจะมีให้พร้อมอยู่แล้ว

- querySelectorAll : เป็นการเลือก DOM element อีกแบบ โดยจะใช้ Format อ้างอิงแบบใหม่ เช่่นเดียวกับ CSS3 เช่น ul li:nth-child(odd)

- localStorage : คล้ายๆกับ Cookie แต่จะไม่มีการ Expired โดยขนาดที่ใช้ได้จะขึ้นอยู่ว่า Browser ตั้งไว้เท่าไหร

- Web sql : เป็น localStorage แบบที่เราสามารถใช้ ภาษา sql ในการ query เรียกข้อมูลมากใช้งานได้

- Cache api : เก็บไฟล์สำหรับการใช้งานแบบ offline

- Worker : หรือ Thread คือแตกการทำงานหลายๆอย่างพร้อมกัน

- Socket : เปิด Socket เชื่อมต่อกับ server หรือ web browser อื่นๆได้

- Notification : เพิ่มการแจ้งเตือนใน Browser เช่น มีใคร tweet มาหา หรือต้องไปเก็บผักแล้ว

- Drag Drop : ลากวาง

- Geolocation : หาตำแหน่งพิกัดของผู้ใช้งาน เพื่อไปใช้งานกับ Google map หรือ application อื่นๆ

CSS3

- Selector ใหม่ๆ เช่น  nth-child(even/odd) ใช้ในการ select แถวที่เป็นคู่และึคี่ของตาราง

- สามารถ Embed font ลงบนหน้าเวปไำด้แล้ว

- โหมดสีแบบใหม่ rgba (rgb+ alpha) และ hsl (Hue/saturation/luminance)

-  ไล่สี Gradient , ใส่เงา , ขอบโค้ง ด้วย CSS

- ใส่ Background ได้หลายอันพร้อมกัน

- Animation ด้วย CSS

- Translation เคลื่อนที่จากตำแหน่งนึง ไปอีกตำแหน่งนึง

- Transform หมุน ย่อ ขยาย ด้วย CSS

- Keyframe ทำ Animation แบบเต็มรูปแบบ

ซึ่งทั้งหมดนี้ ยังใช้กับ Browser ได้จำกัด โดยหลักจะเป็น Chrome , Safari และ Firefox (IE8 ยังไม่สามารถใช้งานได้) ซึ่งก็ยังเป็นปัญหาอยู่เพราะคนส่วนใหญ่ก็ยังใช้ Internet Explorer เป็นหลัก คงต้องรอให้คนเริ่มเปลี่ยนไปใช้ Internet explore 9 กันมากขึ้นก่อน เราจึงจะได้เห็น Application ที่ทำด้วย HTML5 อย่างแพร่หลาย

จะสลับแถวของตาราง จะทำยังไง

วิธีการ

//สลับด้วย index ของ แถว

function exchange(i, j, tableID)
{
	var table = document.getElementByID('tableID');
	var trs = oTable.tBodies[0].getElementsByTagName("tr");

	if(i == j+1) {
		oTable.tBodies[0].insertBefore(trs[i], trs[j]);
	} else if(j == i+1) {
		oTable.tBodies[0].insertBefore(trs[j], trs[i]);
	} else {
		var tmpNode = oTable.tBodies[0].replaceChild(trs[i], trs[j]);
		if(typeof(trs[i]) != "undefined") {
			oTable.tBodies[0].insertBefore(tmpNode, trs[i]);
		} else {
			oTable.appendChild(tmpNode);
		}
	}
}

//สลับด้วย Object ของ Row (tr)
function exchange(oRowI, oRowJ, oTable)
{
	if(oRowI.rowIndex == oRowJ.rowIndex+1) {
		oTable.insertBefore(oRowI, oRowJ);
	} else if(oRowJ.rowIndex == oRowI.rowIndex+1) {
		oTable.insertBefore(oRowJ, oRowI);
	} else {
		var tmpNode = oTable.replaceChild(oRowI, oRowJ);
		if(typeof(oRowI) != "undefined") {
			oTable.insertBefore(tmpNode, oRowI);
		} else {
			oTable.appendChild(tmpNode);
		}
	}
}

source: http://terrill.ca/sorting/switching_table_rows.php